Showing posts with label Computer Basic. Show all posts
Showing posts with label Computer Basic. Show all posts

Web: Content Type

Content type คือค่าที่บอกให้ browser รู้ว่าเนื้อหาที่ server ส่งกลับมาเป็นประเภทไหน เราอาจจะเคยเห็นว่าเืมื่อการคลิ๊ก pdf ไฟล์ browser บางตัว จะทำการเปิดไฟล์ pdf ในหน้า browser ให้เลย นั้นก็เพราะ browser รู้ว่าไฟล์เนื้อหานี้จะต้องจัดการอย่างไร เพื่อแสดงผลได้อย่างถูกต้อง โดย browser จะดูจาก content type (หรือบางครั้งก็ดูจาก นามสกุลของไฟล์) สำหรับข้อมูลบางประเภทที่ browser รู้จักและสามารถแสดงผลได้ มันก็จะแสดงผลให้ แต่สำหรับข้อมูลที่มันไม่สามารถจัดการได้ มันก็จะต้อง pop-up ให้เรา download ลงมาไว้ที่เครื่อง เพื่อเราจะได้นำไปใช้ต่อไป

โดย Content type ก็คือ MIME type นะเอง MIME หรือ Multipurpose Internet Mail Extensions ดูจากชื่อ ก็คงพอเดาได้นะค่ะ ว่า MIME ที่นำมาใช้ครั้งแรก เพื่อใช้ักับ e-mail สำหรับบอกว่าเนื้อหาของ e-mail เป็นรูปแบบไหน เพื่อให้ e-mail client สามารถแสดงผลได้ แต่มันก็ถูกขยายมาให้ใ้ช้เพื่อจุดประสงค์อื่นๆ ต่อมา เช่นการใช้เป็น Content type บน internet เพื่อระุบุ response ที่ server ตอบกลับมาเป็นต้น

ค่าของ MIME type หรือ Content type โดยทั่วไป เช่น

text/plain
text/html
multipart/mixed - text ผสมกับไฟล์แนบ ใช้สำหรับการ download หรือ upload ไฟล์ พร้อมกับแสดงผล HTML หรือ plain text
image/jpeg
image/jpg
audio/mp3
video/mp4
video/quicktime
application/pdf
application/java
application/jar
application/octet-stream
application/x-zip
application/msword


Reference:
MIME - Wikipedia

Computer history ฉบับย่อ

ทุกวันนี้คนใ้ช้คอมพิวเตอร์กันเป็นเรื่องปกติ แต่จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้คอมพิวเตอร์ไม่ได้หน้าตาแบบนี้ หุ่นเพียวบางแบบนี้ และคอมพิวเตอร์เครื่องหนาๆ เป็นตู้เสื้อผ้า ก็ยังคงมีใช้กันอยู่ในบางที่ กับบางงาน และเมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับชื่อและคำศัพท์พวกนี้ เราก็มักจะงงว่าอะไรมันเป็นอะไรกันแน่ สรุปมาให้เห็นแบบสั้นๆ ง่ายๆ (เพราะว่า ยากๆ ก็ไม่รู้เหมือนกัน) แบบนี้



MainframeMinicomputerWorkstation (RISC)
1964-IBM System/360
1970-IBM System/370
1978-
IBM System/34
1980-
IBM System/38
1983-
IBM System/36
1986-

Sun SPARC
1988-
AS/400
late 1980s-

RISC System/6000 หรือ RS System/6000
1990-IBM System/390
mid 1990s-

DEC Alpha
2000-IBM eServer zSeriesIBM eServer iSeriesIBM eServer pSeries
2006-IBM System z (z Series)IBM System i
2008-

IBM System p

*ตัวที่ใส่ตัวหนาไว้ จะเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และมีการใช้กันแพร่หลาย ซึ่ง เป็นชื่อที่ให้เรียกกันมาจนถึงทุกวันนี้ อย่างเช่น AS/400 ข้อสังเกตุอีกอย่างหนึ่งก็คือ SUN ได้รับความนิยมจากเครื่อง workstation มากกว่า IBM

AS/400 มักจะมีคนสับสนกับเครื่อง mainframe แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเครื่อง minicomputer ที่ IBM ผลิตขึ้นมา เมื่อกระแสความต้องการคอมพิวเตอร์ที่มีราคาถูกลง เครื่องเล็กลง ประสิทธิภาพอาจจะไม่เท่า Mainframe แต่ก็เพียงพอต่อความต้องการ จนกระทั่งมาถึง PC ซึ่งเป็น architecture แบบ CISC ซึ่งเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับ RISC บน workstation แต่ CISC สามารถผลิตได้ถูกกว่า เครื่อง CISC แรกๆ ก็คือ chip ตระกูล x86 เช่น 386, 486 เดิม ของ Intel

แม้ว่าเครื่อง mainframe และ minicomputer จะถูก IBM ครองตลาด แต่สำหรับเครื่อง workstation ซึ่งเป็น RISC กลับมีผู้ผลิตหลายรายที่ผลิตชิพของตัวเองและ design workstation ขึ้นมาขายแข่งกับ IBM ด้วย อย่างเช่น Sparc ของ Sun Microsystem ซึ่งค่อยข้างดัง และยังมี Alpha ของ DEC (Digital Equipment Corporation) ด้วย

นอกจากคำศัพท์ประเภทเครื่อง และรุ่น ของคอมพิวเตอร์แล้ว OS ก็อีกเป็นปัจจัยหลักที่มาคู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งบางครั้งเราก็จะได้ยิน คนเรียกชื่อ OS แทนชื่อเครื่อง แล้วก็ทำให้เราสับสนไปกันใหญ่ (ไม่รู้คนอื่นจะสับสนเหมือนกันหรือเปล่า) ว่ามันเป็นเครื่องรุ่นใหม่ แบบใหม่ หรืออย่างไร

MVS เกิดขึ้นไปปี 1974 ใชักับเครื่อง IBM System/370 และ System/390
OS/390 เกิดขึ้นมาปี 1995 นำมาใช้บน IBM System/390 แทน MVS
z/OS เป็นการ re-brand OS/390 เดิม ตามเครื่อง IBM System z

อย่างไรก็ตาม OS/390, z/OS หรือ OS อื่นๆ ที่ใช้กับเครื่อง mainframe ก็ยังมี core เป็น MVS จึงเป็นคำเรียกติดปากของคนทั่วไป เหมือนกับที่เราเรียก Redhat เป็น Linux

OS/400 เกิดขึ้นปี 1988 พร้อมกับ AS/400 ที่ใช้ร่วมกัน ซึ่งภายหลังได้ rename เป็น i5/OS และ IBM i ตาม IBM System i

AIX เป็น OS ที่ใช้บน IBM Workstation หรือเริ่มต้นใช้กับ System/6000 ซึ่งพัฒนามาจาก UNIX System V และ 4.3 BSD-compatible
OpenVMS เป็น OS สำหรับเครื่อง Alpha

นอกจากชื่อ computer ประเภทและรุ่นต่างๆ แล้ว ยังมีระบบคอมพิวเตอร์ที่เคยโด่งดังในสมัยหนึ่ง ของบริษัท Tandem Computers, Inc. ซึ่งใช้ชื่อบริษัทเป็นชื่อของระบบคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบขึ้นโดยใช้แนวคิดแบบ fault-tolerant ซึ่งเป็นระบบที่สามารถรองรับงานได้ 24 ชม. ตลอดทั้งปี โดยออกแบบมาให้มีการรองรับ failure ที่จะเกิดขึ้นทั้งใน software และ hardward (ในขณะที่ mainframe จำเป็นจะต้องมีความเวลาในการ maintenence ซึ่งจะต้องหยุดระบบงานที่มีอยู่ทั้งหมด อย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี และเป็นที่มาของวันหยุดธนาคารกลางปีนะเอง) ระบบของ Tandem ที่ออกมาตัวแรก ในปี 1975 ชื่อ Tandem-16 หรือ T/16 (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น NonStop I) ซึ่งออกเพื่อรองรับการทำงาน OLTP (On-Line Transaction Processing) ของธนาคาร ระบบ Tandem จะใช้ custom OS (เนื่องจากต้องมีการจัดการเรื่อง failure) โดย OS ตัวแรกชื่อ T/TOS และหลังจากนั้นระบบของ Tandem ก็แพร่หลายออกไป จนในปี 1997 บริษัท Compaq ก็ได้มาซื้อบริษัท Tamdem ไป

Reference:
Wikipedia
Tamdem - Wikipedia
Computer History Museum


TCP: default port

port number ก็คือเลข 16-bit (0 - 65535) ที่ใช้บอก application ที่จะใช้

เนื่องจากในการส่งข้อมูลภายใน internet (หรือเครือข่ายที่ใช้ TCP protocol) นั้นสามารถนำไปใช้กับ application ได้หลากหลาย ซึ่งแต่ละ application ก็สามารถใช้ protocol ที่แตกต่างกันออกไปในการตีความข้อมูลที่ส่งไป-มาใน network เช่น เราส่ง HTML โดยใช้ protocol HTTP หรือการส่งไฟล์โดยใช้ protocol FTP เป็นต้น ดังนั้นเพื่อจะบอก server ได้ว่าข้อมูลที่ส่งมานั้นเป็น application อะไร จะต้องใช้ protocol ตัวไหน จึงต้องมีการกำหนดหมายเลข port ขึ้นมา

ทั้งนี้ทั้งนั้น ตอนที่เรา config application เราสามารถกำหนดได้เองว่า จะใช้ application นั้นๆ ใช้ port หมายเลขอะไร แต่โดยทั่วไปแล้ว application ซึ่งเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปจะมี ค่า default ของ application นั้นๆ อยู่ เช่น

port 21 เป็น FTP
port 22 เป็น SSH
port 23 เป็น Telnet
port 25 เป็น SMTP
port 80 เป็น HTTP
port 110 เป็น POP3
port 443 เป็น HTTPS

นอกจากนี้ยังมี applicatoin อื่นๆ อีก ซึ่ง port 0 - 1023 จะถูกสำรองไว้สำหรับ application ที่เป็นที่รู้จักเหล่านี้ ดังนั้นถ้าเรามีการสร้าง application ของเราเองที่ใช้อยู่บน TCP ก็ควรจะหลีกเลี่ยงการใช้ port เหล่านี้

HTTP and HTML introduction and architecture

อย่างที่เรารู้กันว่า เราส่ง HTML ไปด้วย protocol HTTP โดย HTML นั้นจะถูกหุ้มด้วย HTTP header อีกทีหนึ่ง ซึ่งตัว header ที่ว่านี้ก็อาจจะแตกต่างกันไปเล็กน้อยแล้วแต่ HTTP method

เช่น Get request method


GET /select/selectBeerTaste.jsp?color=dark&taste=malty
HTTP/1.1 Host: www.wickedlysmart.com
User-Agent: Mozilla/5.0 (Macintosh; U; PPC Mac OS X Mach-O; en-US; rv:1.4) Gecko/ 20030624 Netscape/7.1
Accept: text/xml,application/xml,application/xhtml+xml,text/html;q=0.9,text/ plain;q=0.8,video/x-mng,image/png,image/jpeg,image/gif;q=0.2,*/*;q=0.1
Accept-Language: en-us,en;q=0.5
Accept-Encoding: gzip,deflate
Accept-Charset: ISO-8859-1,utf-8;q=0.7,*;q=0.7
Keep-Alive: 300
Connection: keep-aliv
e



หรือ Post request method

POST /advisor/selectBeerTaste.do HTTP/1.1
Host: www.wickedlysmart.com
User-Agent: Mozilla/5.0 (Macintosh; U; PPC Mac OS X Mach-O; en-US; rv:1.4) Gecko/ 20030624 Netscape/7.1
Accept: text/xml,application/xml,application/xhtml+xml,text/html;q=0.9,text/ plain;q=0.8,video/x-mng,image/png,image/jpeg,image/gif;q=0.2,*/*;q=0.1
Accept-Language: en-us,en;q=0.5
Accept-Encoding: gzip,deflate
Accept-Charset: ISO-8859-1,utf-8;q=0.7,*;q=0.7
Keep-Alive: 300
Connection: keep-alive


color=dark&taste=malty

ข้อแตกต่างของ get กับ post ที่เห็นได้ชัดๆ ก็คือ post จะสามารถมี body ได้ (บรรทัดสุดท้าย color=dark... คือส่วนของ body) โดย get method จะส่ง parameter ตามหลัง URL เลยทำให้ไม่สามารถส่งค่าที่มีความยาวมากๆ ได้ แต่ว่า post จะส่งโดยผ่าน body ทำให้มีความยาวได้ไม่จำกัด

นอกจาก post และ get แล้ว ยังมี HTTP method อื่นๆ อีก ดังนี้ HEAD, TRACE, OPTIONS, PUT,
DELETE และ CONNECT

ดูในส่วนของ request ไปแล้ว ทีนี้มาดูตัวอย่างของ response ที่ server ตอบกลับไปที่ client กันบ้าง


HTTP/1.1 200 OK
Set-Cookie: JSESSIONID=0AAB6C8DE415E2E5F307CF334BFCA0C1; Path=/testEL
Content-Type: text/html
Content-Length: 397 Date: Wed, 19 Nov 2003 03:25:40 GMT Server: Apache-Coyote/1.1 Connection: close
<html>
...
</html>



ด้านล่างก็เป็นส่วน body ของ respond ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็จะเป็น HTML ที่นำมาแสดงในหน้า browser กันนะเอง โดย browser จะอ่าน message ในส่วนของ body และตีความและแสดงให้เราเห็น ดังนั้นเราจึงมี HTML standard ที่กำหนดว่า tag อะไรจะต้องแสดงผลแบบไหน ซึ่ง browser แต่ละ version ก็จะมีการบอกไว้ว่าตัวนี้ comply กับ HTML version อะไร ก็คือเป็น standard version นะเอง